ทำไมผู้นำต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกแล้ว? ในเมื่อทุกวันนี้ก็ไม่เดือดร้อน
สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนแปลงสู่ผู้นำเชิงกลยุทธ์ เป็นเพราะโลกธุรกิจที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน ( 6 เทคนิคปรับตัวสู่ผู้นำเชิงกลยุทธ์ ) ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นทางรอด นำทีมสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยไม่มีใครหลงทาง
- การพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์จะเปิดประตูสู่โอกาสมากมายในการขับเคลื่อนองค์กร สร้างสรรค์นวัตกรรม และบรรลุเป้าหมายระยะยาว
- พัฒนากรอบความคิดเชิงกลยุทธ์ โดยมองภาพรวมระยะยาว วิเคราะห์แนวโน้ม และคาดการณ์อุปสรรคล่วงหน้า เพื่อวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นำ ทั้งความฉลาดทางอารมณ์ ทักษะการสื่อสาร การสร้างแรงบันดาลใจ และการพัฒนาทีม
- สร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันที่ชัดเจน น่าสนใจ และสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อให้ทีมมุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวกัน
- ส่งเสริมนวัตกรรม โดยสร้างบรรยากาศแห่งความคิดสร้างสรรค์ และยอมรับความล้มเหลวบางอย่าง
- ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการแปลงกลยุทธ์สู่แผนปฏิบัติที่ชัดเจนและยืดหยุ่น ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการทำงานร่วมกันข้ามสายงาน
- ลงทุนในการพัฒนาตนเอง ผ่านการฝึกอบรม การมีพี่เลี้ยงที่ปรึกษา และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์จะเปิดประตูสู่โอกาสมากมายในการขับเคลื่อนองค์กร สร้างสรรค์นวัตกรรม และบรรลุเป้าหมายระยะยาว
ยิ่งสถานการณ์ปัจจุบันในไทยที่เดินหน้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 เต็มขั้น ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ หากหัวหน้าสามารถปรับตัวเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ได้นั้น โอกาสก้าวหน้าก็ยิ่งสูง พาองค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างนวัตกรรม ขยายธุรกิจไปสู่ระดับสากล หรือปฏิบัติตามมาตรฐานสากล
อย่าพลาดโอกาสในการเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงและสร้างความสำเร็จ พัฒนาทักษะการเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ของคุณได้เลยวันนี้ เพราะ Beyond Training รวบรวมเทคนิคการเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อให้ ทีมของคุณจะเดินไปในทิศทางเดียวกัน เติบโตไปด้วยกัน และมุ่งสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน
6 เทคนิคปรับตัวสู่ผู้นำเชิงกลยุทธ์
1. พัฒนากรอบความคิดเชิงกลยุทธ์
- ผู้นำเชิงกลยุทธ์ไม่ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงานในแต่ละวัน แต่ใช้เวลาจำนวนมากไปกับการมองไปข้างหน้าด้วยมุมมองระยะยาวและมองเห็นภาพรวมของสถานการณ์ ผู้นำต้องวิเคราะห์แนวโน้มและแรงขับเคลื่อนหลักในอุตสาหกรรมและตลาดของตนเองให้ได้ เพื่อระบุโอกาสใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นสำหรับธุรกิจ พร้อมทั้งคาดการณ์อุปสรรคหรือความท้าทายที่อาจต้องเผชิญในอนาคต
- การมีวิสัยทัศน์ระยะยาวและความเข้าใจในบริบททางธุรกิจอย่างลึกซึ้ง จะช่วยผู้นำเชิงกลยุทธ์วางแผนกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังช่วยให้พวกเขาสามารถปรับกลยุทธ์และโมเดลธุรกิจได้ทันท่วงทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมภายนอก ไม่ต้องรอให้ถูก Disrupt!
- ผู้นำต้องมีทำงานเชิงรุกและตื่นตัวอยู่เสมอ อย่าคอยให้ผู้บริหารมอบหมายงานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในตลาด เทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมการแข่งขันภายนอก เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันท่วงทีและแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ
- เมื่อเผชิญกับความท้าทายหรือปัญหา ผู้นำเชิงกลยุทธ์จะคิดนอกกรอบและแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการใหม่ ๆ แทนที่จะยึดติดกับวิธีการเดิม พวกเขาจะมองหาโซลูชันสร้างสรรค์และนวัตกรรมเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างและโดดเด่นกว่าคู่แข่ง แต่ยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่มากับการเปลี่ยนแปลงและมีแผนรองรับสำหรับการบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นด้วย
- การมีความกล้าหาญที่จะคิดนอกกรอบและการประเมินความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้ผู้นำสามารถนำองค์กรก้าวนำหน้าคู่แข่งและบรรลุความสำเร็จที่ยั่งยืน โดยสามารถรักษาความมั่นคงและปกป้ององค์กรจากภาวะเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
2. เสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นำ
- ความสำเร็จของผู้นำเชิงกลยุทธ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดทางสติปัญญาเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความฉลาดทางอารมณ์ด้วย ผู้นำจำเป็นต้องตระหนักรู้ในตนเองเกี่ยวกับจุดแข็ง จุดอ่อน อารมณ์ และแรงจูงใจของตน มีความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น รวมถึงมีทักษะในการสร้างและบริหารจัดการความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมงาน
- เริ่มเป็นนักสื่อสารที่มีประสิทธิภาพได้แล้ว! ผู้นำควรถ่ายทอดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ขององค์กรได้อย่างชัดเจนและน่าดึงดูดใจ สามารถอธิบายถึงเป้าหมายระยะยาวและเส้นทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายนั้นให้เข้าใจง่ายที่สุด เพื่อให้พนักงานทุกระดับเข้าใจและปฏิบัติตามในทิศทางเดียวกัน และยังช่วยให้ผู้นำสามารถสร้างแรงบันดาลใจและโน้มน้าวผู้อื่นได้ดีขึ้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและความสำเร็จขององค์กร
- ผู้นำเก่งคนเดียว คงพาทีมไปได้ไม่ไกล ผู้นำจึงต้องให้ความสำคัญกับการเสริมพลังและพัฒนาทีมงานอย่างต่อเนื่อง ผู้นำควรมอบหมายความรับผิดชอบและอำนาจในการตัดสินใจแก่สมาชิกในทีม เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและกระตุ้นการมีส่วนร่วม
- นอกจากนี้ ผู้นำยังควรลงทุนในการพัฒนาทักษะและศักยภาพของทีมงาน ผ่านการฝึกอบรม การสอนงาน และการให้คำปรึกษา เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรและเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายในอนาคต
- อีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยซัพพอร์ตความเป็นผู้นำ คือสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่สำคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทาย
- การตัดสินใจไม่ควรพึ่งพาข้อมูลเพียงอย่างเดียว ผู้นำต้องใช้สัญชาตญาณและประสบการณ์ในการประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้านด้วย โดยสมดุลระหว่างข้อมูลและสัญชาตญาณเพื่อให้ได้การตัดสินใจที่มีคุณภาพสูงสุด
3. สร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน
- การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและน่าสนใจเป็นหัวใจสำคัญของผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ วิสัยทัศน์นี้จะกำหนดทิศทางและเป้าหมายในระยะยาวขององค์กร พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจและจูงใจให้พนักงานทุกคนมุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวกัน
- ผู้นำเชิงกลยุทธ์ต้องสามารถกำหนดวิสัยทัศน์ที่ทรงพลัง น่าสนใจ และสร้างแรงบันดาลใจได้ วิสัยทัศน์นี้ควรสะท้อนถึงเป้าหมาย คุณค่าและความทะเยอทะยานขององค์กร ในขณะเดียวกันก็ต้องเชื่อมโยงกับแรงบันดาลใจและแรงจูงใจของพนักงาน
- เมื่อพนักงานเข้าใจและรู้สึกผูกพันกับวิสัยทัศน์ พวกเขาจะมีแรงขับเคลื่อนในการทุ่มเทความพยายามและทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ผู้นำจึงต้องเป็นนักสื่อสารที่ยอดเยี่ยมในการถ่ายทอดวิสัยทัศน์นี้ให้ชัดเจนและน่าสนใจ
4. ส่งเสริมนวัตกรรม
- การคิดนอกกรอบและมีความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการอยู่รอด ผู้นำเชิงกลยุทธ์จึงต้องส่งเสริมให้ทีมงานกล้าที่จะคิดแตกต่างและนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ
- การท้าทายขนบและสมมติฐานเดิม ๆ อย่างสร้างสรรค์จะนำไปสู่การค้นพบมุมมองและวิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงปรับปรุงกระบวนการทำงาน ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว
- ผู้นำควรสร้างบรรยากาศในองค์กรที่เปิดกว้างสำหรับความคิดใหม่ ๆ ตั้งคำถามกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ให้ความเห็นชอบและรางวัลแก่พนักงานที่มีความคิดริเริ่ม และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการทำงานร่วมกันแบบเปิดกว้าง
- นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มักเกิดขึ้นพร้อมกับความเสี่ยง ดังนั้นผู้นำจึงต้องสร้างวัฒนธรรมภายในองค์กรที่ยอมรับความล้มเหลวในระดับหนึ่ง และให้โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาจากสิ่งที่ผิดพลาด
- ทีมงานจะไม่กล้าคิดนอกกรอบหากพวกเขารู้สึกว่าความล้มเหลวแล้วจะถูกลงโทษ ผู้นำจึงต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าความล้มเหลวบางอย่างสามารถยอมรับได้ ถ้าเป็นไปเพื่อการค้นหาวิธีการและแนวคิดใหม่ ๆ
- อย่างไรก็ตาม การเสี่ยงควรเป็นไปอย่างรอบคอบและมีการวางแผนรองรับ ผู้นำต้องสอนให้ทีมงานรู้จักประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์โอกาสและผลกระทบเชิงลบ แล้วจึงตัดสินใจลงมือลองสิ่งใหม่ ๆ อย่างมีวิจารณญาณ
- ผู้นำเชิงกลยุทธ์ต้องคอยมองหาโอกาสในการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง อาจมาจากการปรับปรุงโมเดลธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าและองค์กร สร้างความแตกต่างและจุดขายเหนือคู่แข่ง และรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ผู้นำจึงต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนในกิจกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา การติดตามแนวโน้มใหม่ ๆ รวมถึงการฟังเสียงจากลูกค้าอย่างใกล้ชิด
- ในขณะเดียวกัน ผู้นำก็ควรสนับสนุนให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมด้วย ผ่านการจัดกิจกรรมระดมสมองและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยให้รางวัลแก่ผู้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจ ด้วยวิธีนี้ องค์กรจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากทุนทางปัญญาและประสบการณ์ของพนักงาน
- การเปิดรับนวัตกรรมทุกรูปแบบ ทั้งผลิตภัณฑ์ บริการ โมเดลธุรกิจ และกระบวนการ จะทำให้องค์กรสามารถปรับตัวและเติบโตได้โดยไม่หยุดนิ่ง เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในระยะยาวภายใต้การนำของผู้นำเชิงกลยุทธ์
5. ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- การวางกลยุทธ์ที่ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จต้องสามารถแปลงกลยุทธ์เหล่านั้นให้เป็นแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม มีเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน วัดผลได้
- การพัฒนาแผนที่ละเอียดและเป็นระบบจะช่วยให้ทุกส่วนขององค์กรสามารถดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน แบ่งปันทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และวัดความคืบหน้าเพื่อการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
- แผนปฏิบัติการจำเป็นต้องมีความคล่องตัวและสามารถปรับเปลี่ยนได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ผู้นำต้องเฝ้าติดตามภาพกว้างขององค์กรอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งทบทวนและปรับแผนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เพื่อรักษาความทันสมัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
- หนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติคือ ขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานภายในองค์กร องค์กรที่มีวัฒนธรรมแบบ “ไซโล” หรือแต่ละแผนกทำงานเป็นเกาะแก่งแยกจากกัน จะประสบปัญหาในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำเชิงกลยุทธ์จึงต้องค้นหาแนวทางในการส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน สร้างเครือข่ายการสื่อสารที่เปิดกว้าง กำหนดเป้าหมายร่วมและประสานการดำเนินงานข้ามสายงานต่างๆ ให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน อาจลองทำโปรเจกต์พิเศษที่ให้พนักงานแต่ละแผนกที่มีความสามารถต่างกันมารับผิดชอบร่วมกัน ก็จะให้เกิดผลงานที่สร้างสรรค์และที่สำคัญ พนักงานสามารถสื่อสารข้ามแผนกได้
- การทำลายกำแพงไซโลจะช่วยให้องค์กรสามารถทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว มุ่งสู่เป้าหมายและกลยุทธ์ที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความสูญเปล่าจากการทำงานซ้ำซ้อน ตลอดจนเชื่อมโยงความคิดและความเชี่ยวชาญจากทุกหน่วยงานเข้าด้วยกัน
- การสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจะเสริมสร้างความสามัคคี ทำให้แต่ละทีมเข้าใจบทบาทและรับผิดชอบของตนเอง และร่วมแรงร่วมใจกันนำกลยุทธ์สู่การปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แบบ
6. ลงทุนในการพัฒนาตนเอง
- การเป็นผู้นำที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์ และสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ การหมั่นเข้าร่วมการฝึกอบรมในหัวข้อต่าง ๆ เช่น การวางแผนกลยุทธ์ ภาวะผู้นำ นวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล จะช่วยเสริมสร้างความรู้ ทักษะ และมุมมองใหม่ ๆ ให้กับผู้นำ ทำให้สามารถนำพาองค์กรก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
- หากสนใจโปรแกรมพัฒนาผู้นำที่สร้างคนเก่งได้จริง วัดผลได้ คลิกดูรายละเอียดได้ที่ https://beyondtraining.in.th/adaptive-leadership-series/
- การมีพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษาที่เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ และมีประสบการณ์จริงสามารถให้คำแนะนำที่มีคุณค่าแก่ผู้นำรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เรียนรู้จากบทเรียนและข้อผิดพลาดในอดีต รวมถึงกลยุทธ์การบริหารจัดการที่ทันสมัยจากผู้มีประสบการณ์ จะช่วยลดเวลาในการเรียนรู้ด้วยตนเอง และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จให้แก่ผู้นำรุ่นใหม่
- ความรู้คือพลังสำคัญของผู้นำที่ประสบความสำเร็จ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการอ่านหนังสือ บทความ และงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งในสาขาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และสาขาอื่น ๆ ที่น่าสนใจ จะช่วยขยายมุมมองและเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ สำหรับผู้นำ ทำให้สามารถปรับตัวและตอบโจทย์ความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้มีความคิดนอกกรอบอยู่เสมอ
สำหรับการเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จนั้น การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องถือเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ผู้นำจึงจำเป็นต้องปรับปรุงและพัฒนาตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรให้ความสำคัญ ดังนี้ พัฒนากรอบความคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Mindset) เสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นำ (Leadership Skills) สร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Shared Vision) แปลงกลยุทธ์สู่แผนดำเนินงานที่เป็นชัดเจน ทำตามได้ง่าย (Strategy Execution) และมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดเป้าหมาย แผนงาน ตัวชี้วัด และการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม รวมถึงการสื่อสารและถ่ายทอดแผนดำเนินงานไปยังทุกระดับในองค์กร รวมทั้งลงทุนในการพัฒนาตนเองอย่างจริงจัง ผ่านการฝึกอบรม การมีพี่เลี้ยงที่ปรึกษา (Coaching/Mentoring) การเรียนรู้จากประสบการณ์ และการอ่านหนังสือ/บทความต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างความรู้ ทักษะ และมุมมองใหม่ๆ ให้กับตนเอง
การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยให้ผู้นำมีความพร้อมในการนำพาองค์กรก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ตลอดจนสามารถวางแผนกลยุทธ์และนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
“เพราะผู้นำที่เก่ง สามารถสร้างได้จริง”
Beyond Training ได้ออกแบบ Adaptive Leadership Series
โปรแกรมพัฒนาผู้นำยุคใหม่ให้เก่งจริง สามารถปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงทางโลกธุรกิจ และบริหารผลงานผ่านทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนใจรายละเอียด คลิก!