“ทำงานมากแต่ได้น้อย” คืออะไร ? หลายคนมีวิธีการทำงานที่ผิด หากคิดว่าการทำงานที่มีประสิทธิภาพ นั้นหมายถึง การทำงานได้เยอะ รับผิดชอบงานได้หลากหลาย นั่นเป็นวิธีการคิดที่ผิด ! บางทีเราอาจะสูญเสียเวลาไปโดยใช่เหตุกับงานที่ไม่ได้ส่งผลกระทบ (Impact) ต่อองค์กรได้มากขนาดนั้น ทำให้ไม่มีเวลาเหลือพอที่จะไปทำสิ่งที่เกิดประโยชน์กว่า
จากเนื้อหาในหลักสูตร Changing For Growth ที่ว่าด้วยเรื่องของการทำงานเพื่อให้เกิดผลลัพธ์จริง ก่อนอื่นเราจะมาเจาะปัญหาส่วนใหญ่ของคนทำงานกันก่อนว่า สาเหตุอะไรที่ทำให้การทำงานไม่ประสบผลสำเร็จ
งานไม่สำเร็จ เพราะเราไม่ลงมือทำสักที !
กลัวดูไม่ดี ในสายตาคนอื่น
ความไม่กลัว คือ อุปสรรคต่อความสำเร็จ บางครั้งความกลัวที่จะลงมือทำงาน เพราะอาจจะไม่ถูกใจหัวหน้า หรือลูกค้า ทำให้การทำงานล่าช้า ไม่กล้าที่จะเริ่มลงมือ จนท้ายที่สุด งานชิ้นนั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จในที่สุด
ติดความ Perfect รอพร้อม
คุณเสียเวลาไปกับการเก็บความสมบูรณ์แบบของงานที่ไม่ได้มีความสำคัญมากขนาดนั้น ทำให้เสียเวลาที่จะไปทำงานที่สำคัญกว่า ฉะนั้นคุณต้องเรียนรู้ที่จะให้ความสำคัญกับงานแต่ละชิ้นว่าควรให้เวลากับมันมากน้อยแค่ไหน
ติดนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง จนลืม !
เมื่อมีงานสำคัญเข้ามามาก ๆ วิธีที่ดีที่สุดคือ รีบบริหารงานเร่งด่วนให้เสร็จโดยไว อย่าปล่อยค้างคาไว้ เพราะจะทำให้เราไม่สามารถจัดสรรเวลาสำหรับงานชิ้นใหม่ที่จะเข้ามาได้ และสุดท้ายอาจจะทำให้คุณ ลืม งานชิ้นก่อนหน้าที่ดองไว้อย่างสนิท
ลงมือทำแล้วยืนหยัดไม่ได้
เมื่อคุณเริ่มทำงานไปแล้ว แต่กลับรู้สึกเบื่อหรือหมด Passion แล้วพักงานชิ้นนั้น ๆ ไวเก่อน นั่นอาจจะส่งผลถึงความต่อเนื่องของงาน และระยะเวลาที่ยืดเยื้อออกไปอีก และก็อาจจะพบปัญหาอย่างที่กล่าวไปในหัวข้อด้านบน นั่นคือ ผลัดวันประกันพรุ่งจนลืมเสียเอง ฉะนั้น เมื่อคุณลงมือทำงานชิ้นใดแล้ว ก็ควรทำให้เสร็จสิ้นไปทีละงาน
จัดลำดับความสำคัญของงานไม่ดี
นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดของคนทำงานเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าคุณจะทำงานไว ขยัน หรือมีวินัยมากเพียงใด แต่หากไม่รู้จักการจัดลำดับความสำคัญของงาน สุดท้ายก็อาจจะต้องพบกับความล้มเหลวในที่สุด หรือที่เรียกว่า ทำ(งาน)มากแต่ได้(ผลลัพธ์)น้อย
ในหลักสูตร Changing For Growth มีเทคนิคดี ๆ เกี่ยวกับการทำงานที่เห็นผลลัพธ์จริงอย่าง เทคนิค Do the right thing right ที่ในองค์กรทั่วโลกนำมาใช้ได้ผลจริงกับการบริหารงาน
“Do the right thing ,don’t do things right” (จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าไปพยายามทำ (สิ่งที่ผิด) ให้มันถูกต้องขึ้นมาเสียให้ได้!)
Peter F.Drucker ปรมาจารย์ด้านการบริหารและการจัดการ ผู้ยิ่งใหญ่ ได้กล่าวไว้เป็นคนแรก เป็นหลักการสำคัญว่า “It’s more important to do the right thing than to do things right” มันสำคัญมากที่จะต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าจะพยายามทำ (สิ่งที่อาจจะผิด) ให้มันถูกต้อง”
Do the right thing right เป็นหลักการที่มุ่งเน้นให้บุคลากรในองค์กรเลือกทำแต่ งานที่ถูกต้องพร้อมกับวิธีการที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของตัวเองและองค์กร
Right Things Wrong หยิบงานที่ถูก แต่ผิดวิธีการ
หมายถึง การเลือกงานหรือโปรโจกต์ที่จะทำได้ถูกต้องแล้ว สามารถสร้างประโยชน์ให้องค์กรได้ แต่! วิธีการทำงานที่จะสร้างให้โปรเจกต์ประสบความสำเร็จนั้นเป็น วิธีที่ผิด! สุดท้ายแล้ว แม้ว่าคุณจะเลือกหยิบจับงานที่มีมูลค่ามาทำ แต่ก็อาจจะทำไม่สำเร็จเพราะคุณเลือกทำผิดวิธีการ
Right Things Right หยิบงานที่ถูก พร้อมวิธีการที่ถูก
เป็นข้อที่จะทำให้บุคลากรสามารถสร้างประโยชน์ได้มหาศาล และเกิด Impact (ผลกระทบ) เชิงบวกให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการหยิบจับโปรเจกต์หรืองานที่จะทำได้ถูก พร้อมทั้งเลือกวิธีการที่จะทำให้งานเหล่านั้น ไปสู่ประสบความสำเร็จได้อีกด้วย
Wrong Things Wrong หยิบงานที่ผิด และวิธีการก็ยังผิด
เป็นสิ่งที่น่ากังวลสำหรับองค์กร หากบุคลากรไม่สามารถเลือกทำชิ้นงานที่สร้างมูลค่าให้ธุรกิจได้จริง หรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งยัง ทุ่มเทเวลาไม่เสียเปล่ากับวิธีการทำงานที่ไม่ถูกต้อง นั่นเท่ากับว่า องค์กรจะเสียทั้งเวลาและความสามารถของบุคลากรไปโดยเสียเปล่า
Wrong Things Right หยิบงานผิด แต่ทำถูกวิธีการ
“ข้อสุดท้าย น่าเสียดายที่สุด” เพราะบุคลากรเรียนรู้วิธีการทำงานที่ถูกต้อง ส่งผลให้ประสบผลสำเร็จ สำหรับโปรเจกต์หรือชิ้นงานที่เลือกทำ แต่อย่างไรก็ตาม โปรเจกต์งานเหล่านั้น ไม่ได้สร้าง Impact(ผลกระทบ) เชิงบวกให้องค์กร ซึ่งหมายความว่า คุณจะทำงานออกมาดีแค่ไหน แต่องค์กรก็ยังได้รับประโยชน์น้อยอยู่ดี จากโปรเจกต์งานที่คุณเลือก
อ้างอิงข้อมูลจาก : https://adviceyouneed.net/2011/10/26/quote-of-the-day-102611 และ หลักสูตร Changing For Growth