เมื่อการทำงานต้องเปลี่ยนรูปแบบไปตามสภาวะวิกฤติที่ประสบอยู่ จึงทำให้ทุกองค์กรต้องเริ่มหาแนวทางใหม่ ๆ ที่จะมาพัฒนาบุคลากรให้สามารถก้าวทันกับทุกความเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ จนเป็นที่มาของการนำศาสตร์การคิดแบบ Critical Thinking หรือการคิดอย่างมีวิจารณญาน เข้ามาปลูกฝังเป็นพื้นฐานความคิดให้พนักงานได้เรียนรู้การคิดรอบด้าน มองเห็นทุกมิติ แยกแยะได้ รวมถึงการตัดสินใจอย่างมีถูกต้องบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ซึ่งเป็นส่วนเติมเต็มให้พนักงานสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ขององค์กรในช่วงวิกฤติได้อย่างชาญฉลาด
บทความนี้ได้นำ 4 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ Questioning , Evidence , Curious , Conclude ที่จะเป็นหนึ่งในตัวช่วยให้บุคลากรทุกระดับในองค์กร สามารถนำไปปฎิบัติเพื่อพัฒนาไปสู่การคิดแบบมีวิจารญาณ (Critical Thinking) ได้อย่างสมบูรณ์
เริ่มต้นจาก แยกความต่างของ “จิตสำนึก กับ จิตใต้สำนึก”
จิตสำนึก หมายถึง การรับรู้ข้อมูลจากสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก ผ่านสิ่งต่าง ๆ เช่น ประสาทสัมผัส หรือ ประสบการณ์ของเรา จากนั้นจะนำมาไตร่ตรองเพื่อสร้างความปราถนาบางอย่างให้เกิดขึ้นในจิตใจ
ส่วนความหมายของ จิตใต้สำนึก จะแตกต่างออกไป เพราะคือสิ่งที่จะตอบสนองต่อจิตสำนึกของเราอีกทอดหนึ่ง ในหนังสือเปรียบคำว่า จิตสำนึก เหมือนกับพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด สามารถสร้างปรากฎการณ์ทุกอย่างให้เกิดขึ้นได้
สิ่งที่เราได้สัมผัสทั้ง ภาพ ความเชื่อ หรือความรู้สึก ที่คิดอยู่สม่ำเสมอในจิดสำนึก ไม่ว่าจะทั้งด้านลบและบวกจะถูกนำไปยัง จิตใต้สำนึก ที่จะจดจำภาพเหล่านั้น และยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นจะต้องเกิดขึ้นจริง ๆ หากสรุปเพื่อให้เข้าใจง่าย คือ หากเราป้อนสิ่งใดไปในจิตใต้สำนึกของเรา สิ่งเหล่านั้นก็จะถูกสะท้อนภาพออกมาในโลกความจริง หรือพยายามหาหนทางให้สิ่งที่เราคิดอยู่นั้น “เกิดขึ้นจริงในสักวัน”
ปราถนาสิ่งใด “จิตใต้สำนึก จะสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้”
เรามาลองตั้งโจทย์ของความปราถนากันดู เช่น “ฉันอยากประสบความสำเร็จด้วยการมีรถขับ ภายในปีนี้” จากนั้นก็พยายามพูดกับตัวเองว่า “ด้วยพลังแห่งจิตใต้สำนึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด ฉันคือผู้ที่มีปัญญาและความสามารถที่จะมีรถขับภายในปีนี้ ฉันจึงส่งคำขอไปถึงจิตใต้สำนึกของตัวฉันเอง และรู้วิธีการที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงได้”
จากนั้น คุณลองนึกภาพแห่งความสุข ที่คุณกำลังนั่งอยู่ภายในรถหรูของคุณอย่างภาคภูมิใจ และดื่มด่ำกับความสุขนั้นที่คุณได้ครอบครองมา คิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริง ๆ โดยไม่ต้องสงสัยกับสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่แม้แต่นิดเดียว
เมื่อทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำและเชื่อมั่นในภาพที่ตัวเองสร้างขึ้น จิตใต้สำนึก จะเชื่อว่าภาพเหล่านั้นเป็นความจริง และจะมอบวิธีการที่จะทำให้คุณไปถึงภาพความสำเร็จนั้น และในที่สุด คุณก็จะรู้สึกว่าตนเองมองเห็นหนทางที่จะไปสู่ความสำเร็จนั้น ด้วยการลงมือทำ โดยไม่มีข้อแม้ และในที่สุด ความสำเร็จที่คุณคิดไว้ จะสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้
“ศัตรูขั้วตรงข้ามของจิตใต้สำนึก” ที่จะทำลายความสำเร็จของคุณ
ทุกสิ่งอย่างอาจไม่ได้ง่ายไปเสียหมด เพราะคุณจะต้องต่อสู้กับอุปสรรคที่จะขัดขวางจิดใต้สำนึกของคุณ แล้วศัตรูที่ว่านี้ หมายถึงสิ่งใด? เฉลยคำตอบก็คือ การคิดลบ คำพูดเชิงลบ จินตนาการเชิงลบ ความกลัว ความสงสัย ทั้งหมดนี้จะทำลายจิดใต้สำนึกของคุณ ไม่ให้ไปถึงความสำเร็จที่วาดไว้ ดังนั้น คุณจึงต้องสลัดทุกอุปสรรคเหล่านี้ให้ออก เพราะอย่าลืมว่า เรารับรู้หรือคิดสิ่งใด จิตใต้สำนึกของเราจะสร้างให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง หากคุณคิดแต่สิ่งลบ ๆ ท้อถอย กับสิ่งที่หวัง คุณก็จะไม่มีทางสำเร็จได้แน่นอน
สรุปเคล็ดลับความสำเร็จ (Key Success)
จากที่เรียนรู้เรื่องราวจากในหนังสือชื่อดังอย่าง The Power Of Your Subconscious Mind ของ ดร.โจเซฟ เมอร์ฟี่ แล้วก็สรุปได้ว่า ความสำเร็จในทุกรูปแบบที่แต่ละคนวาดไว้ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ จิตใต้สำนึก ที่จะส่งผลต่ออนาคตของคุณได้
นอกจากนี้ หากคุณอยากที่จะเปลี่ยนแปลง Mindset ของตัวเองให้เติบโตขึ้น ด้วยเทคนิคและวิธีการเชิงลึก สามารถเรียนรู้กับ Beyond Training ได้ในหลักสูตรออนไลน์ Changing For Growth ที่จะมาเริ่มปรับเปลี่ยน Mindset วิธีการคิด การพูดของคุณใหม่ เพื่อที่จะกลายเป็นผู้ที่เติบโตขึ้นพร้อมกับความสำเร็จที่รออยู่ในอนาคต
อ้างอิงข้อมูลจาก : หนังสือ The Power Of Your Subconscious Mind , Facebook : นักอ่าน มือสรุป , หลักสูตร Changing For Growth