ปัญหา คืออุปสรรคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในทุกองค์กร เปรียบเสมือนหินขวางทางที่พร้อมจะฉุดรั้งความสำเร็จ แต่หินเหล่านี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หากเรามองมันในมุมมองใหม่ ปัญหาจะเป็นบทเรียนอันล้ำค่า เป็นโอกาสพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น และเครื่องมือที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพ เปลี่ยนปัญหาให้เป็นบทเรียน และนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ นั่นคือ Systematic Problem Solving แนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ที่จะช่วยให้องค์กรแก้ปัญหาได้ตรงจุด รวดเร็ว ประหยัดทรัพยากร ลดความผิดพลาด ป้องกันปัญหาซ้ำซ้อน ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ พัฒนาศักยภาพของพนักงาน และนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ พัฒนาองค์กรด้วย Systematic Problem Solving

ในบทความนี้ จะพาไปเจาะลึก Systematic Problem Solving พร้อมตัวอย่างการประยุกต์ใช้ และกลยุทธ์ที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพองค์กร เปลี่ยนปัญหาเป็นบทเรียนและก้าวสู่ความสำเร็จ

Systematic Problem Solving คืออะไร?

Systematic Problem Solving เป็นแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 8 ขั้นตอน :

• ระบุปัญหา

กำหนดปัญหาให้ชัดเจน เข้าใจขอบเขต ผลกระทบ และความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายขององค์กร

• แจกแจงปัญหา

แยกแยะรายละเอียดของปัญหา วิเคราะห์องค์ประกอบ สาเหตุเบื้องต้น และผลกระทบต่อระบบต่างๆ

• ตั้งเป้าหมาย

กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน วัดผลได้

• หาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา

วิเคราะห์หาต้นตอของปัญหาอย่างลึกซึ้งด้วยเครื่องมือต่างๆ เช่น 5 Whys, Fishbone Diagram

• หาแนวทางแก้ไข

ระดมความคิด วิเคราะห์ ประเมิน เลือกแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า

• ลงมือทำและสื่อสาร

วางแผนปฏิบัติการ กำหนดผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา งบประมาณ สื่อสารแผนและความคืบหน้าให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ

• ติดตามผลลัพธ์

วางแผนปฏิบัติการ กำหนดผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา งบประมาณ สื่อสารแผนและความคืบหน้าให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ

• สร้างมาตรฐาน ปรับปรุง

เรียนรู้จากประสบการณ์ รียนรู้จากประสบการณ์ สรุปบทเรียน พัฒนามาตรฐานใหม่ ป้องกันปัญหาซ้ำซ้อน และยกระดับกระบวนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง

ประโยชน์ของ Systematic Problem Solving

เพิ่มประสิทธิภาพ: แก้ปัญหาได้ตรงจุด รวดเร็ว และประหยัดทรัพยากร

การแก้ปัญหาได้ตรงจุด รวดเร็ว แม่นยำ โดยไม่ต้องเสียเวลาวนเวียนกับปัญหาเดิม ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำงานได้รวดเร็ว ประหยัดเวลาและทรัพยากร เพิ่มผลผลิตและ ROI (Return on investment) ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย

ลดความผิดพลาดป้องกันปัญหาซ้ำซ้อน

ลดความเสี่ยงและผลเสียที่อาจเกิดขึ้น สร้างความมั่นใจในการทำงาน ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ มั่นใจ และมีประสิทธิภาพส่งเสริมการทำงานที่มีคุณภาพ ลดความผิดพลาด และสร้างผลงานที่ได้มาตรฐาน

ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม

กระตุ้นการทำงานร่วมกัน แบ่งปันความรู้ประสบการณ์ และมุมมอง พัฒนาการสื่อสาร การประสานงาน และความสามัคคีในทีม สร้างบรรยากาศการทำงานที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เติบโต และความร่วมมือ

พัฒนาศักยภาพของพนักงาน

ฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา ตัดสินใจ และสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม คิดเชิงระบบ และใฝ่หาความรู้ส่งเสริมการเรียนรู้และเติบโตในองค์กร สร้างแรงจูงใจ และความผูกพัน

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ Systematic Problem Solving ในองค์กรไทย

• กรณีศึกษาที่ 1

บริษัทผลิตปูนแห่งหนึ่ง เผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตสูง กำไรลดลง กระทบต่อผลประกอบการโดยรวม ทางบริษัทจึงตัดสินใจนำหลักการ Systematic Problem Solving มาวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาอย่างละเอียด โดยจากการวิเคราะห์ พบว่าต้นทุนการผลิตสูง เกิดจากกระบวนการผลิตที่ล้าสมัย เครื่องจักรเก่า ใช้พลังงานสูง มีการสูญเสียวัสดุระหว่างการผลิต

หลังจากได้ข้อมูล ทางบริษัทจึงจัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อหาแนวทางแก้ไข โดยใช้หลักการของ Systematic Problem Solving ระดมความคิด หาแนวทางแก้ไข วิเคราะห์ ประเมิน เลือกแนวทางที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า

แนวทางแก้ไข ที่เลือกใช้ มีดังนี้

• เปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดพลังงาน
• ปรับปรุงกระบวนการผลิต ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น
• ฝึกอบรมพนักงาน พัฒนาทักษะ
• ติดตั้งระบบควบคุมการผลิต

ผลลัพธ์ที่ได้
– ลดต้นทุนการผลิตลง 20%
– ผลกำไรเพิ่มขึ้น
– เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
– ประหยัดทรัพยากรลง

————————————————————————————————————

• กรณีศึกษาที่ 2

ธนาคารแห่งหนึ่งเผชิญปัญหาคิวยาว ลูกค้าต้องรอนาน สร้างความไม่พึงพอใจ ธนาคารเล็งเห็นถึงปัญหา จึงนำ Systematic Problem Solving มาวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาอย่างละเอียด จากการวิเคราะห์ พบว่าสาเหตุหลักมาจากระบบคิวที่ล้าสมัย พนักงานไม่เพียงพอ ขาดระบบจัดการคิวออนไลน์ เพื่อแก้ไขปัญหาธนาคารจึงลงทุนพัฒนาระบบคิวออนไลน์

ซึ่งระบบคิวออนไลน์ช่วยให้
– ลูกค้าสามารถจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน
– ตรวจสอบคิวแบบเรียลไทม์
– เลือกสาขาและเวลาที่สะดวก
– แจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงคิวใกล้

ผลลัพธ์ที่ได้
– ลูกค้ารอคิวน้อยลง
– เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
– พัฒนาภาพลักษณ์ของธนาคาร
– ลดต้นทุนการดำเนินงาน/การบริการ

ทั้ง 2 กรณีศึกษานี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรไทยที่ประยุกต์ใช้ Systematic Problem Solving ช่วยให้องค์กรแก้ปัญหาได้ตรงจุด จนทำให้เกิดผลลัพธ์ใหม่ๆที่ดีกับองค์กร และยังส่งผลไปถึงผลกำไรของบริษัทได้อีกด้วย

Beyond Training พาร์ทเนอร์สู่ความสำเร็จ ด้วยประสบการณ์ฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพพนักงานองค์กร ผู้นำด้าน Soft skills Training กว่า 10 ปี เรามี หลักสูตร Systematic Problem Solving ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการฝึกอบรมบุคลากรโดยเฉพาะ

เสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหา ฝึกฝนพนักงานให้คิดวิเคราะห์ หาสาเหตุ และแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
พัฒนากลยุทธ์ พัฒนาองค์กรด้วย Systematic Problem Solving ช่วยให้องค์กรมีระบบและกระบวนการแก้ปัญหาที่ชัดเจน
ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน ส่งผลดีต่อผลลัพธ์และเป้าหมายขององค์กร
บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต


นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรอื่นๆ อีกมากมาย รวมกว่า 249 หลักสูตร พร้อมตอบโจทย์ความต้องการทุก Soft skills ที่องค์กรต้องใช้ในการทำงานและยกระดับธุรกิจ สนใจติดต่อ Beyond Training คลิกที่นี่